น้ำมันในสหรัฐฯราคาไม่เท่ากันในแต่ละรัฐ

0
288
ขึ้นต้นอย่างนี้หลายคนคงบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ราคาน้ำมันในแต่ละพื้นที่ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีราคาไม่เท่ากัน เพราะสหรัฐฯออกจะมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ราคาน้ำมันในแต่ละพื้นที่เมื่อบวกค่าขนส่งเข้าไป ย่อมมีราคาไม่เท่ากันอยู่แล้ว ประเทศไทยก็เหมือนกัน ราคาน้ำมันที่แม่ฮ่องสอนก็ไม่เท่ากับกรุงเทพฯ เพราะบวกค่าขนส่งเข้าไป

 

นั่นก็ถูกต้องเพียงส่วนเดียวครับ แต่เหตุผลที่ราคาน้ำมันในสหรัฐฯแตกต่างกันในแต่ละมลรัฐยังมาจากเหตุผลอื่นๆอีกด้วย เช่น ประสิทธิภาพของระบบ Logistics ในการจัดหาน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งมีผลต่อต้นทุนในการกลั่นน้ำมันในรัฐนั้นๆ ค่าครองชีพ (Standard of Living) ของประชาชนในรัฐนั้น ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องมีค่าใช้จ่าย/กำไรที่สูงกว่าผู้ประกอบการในรัฐอื่นๆ และที่สำคัญคือโครงสร้างภาษีน้ำมันที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
ในสหรัฐฯนอกจากรัฐบาลกลางจะจัดเก็บภาษีจากน้ำมันในอัตราเดียวกันทั่วประเทศที่เรียกว่า Federal Tax แล้ว รัฐต่างๆยังมีการจัดเก็บภาษีจากน้ำมันเพิ่มเพื่อเป็นรายได้ของรัฐอีกต่างหากด้วย เรียกว่าState Tax และจัดเก็บในอัตราที่ไม่เท่ากัน โดยสูงสุดอยู่ที่ 80.45 เซนต์/แกลลอน (ประมาณ 6.48 บาท/ลิตร) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และต่ำสุดอยู่ที่ 32.72 เซนต์/แกลลอน (ประมาณ 2.63 บาท/ลิตร) ในรัฐอลาสกา ในขณะที่อัตราภาษีเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 54.70 เซนต์/แกลลอน (ประมาณ 4.40 บาท/ลิตร)

 

จากสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่มีราคาน้ำมันเบนซินสูงที่สุดในสหรัฐฯ (4.183 $/แกลลอน หรือประมาณ 33.68 บาท/ลิตร) และในบางแห่งสูงกว่า 5 $/แกลลอน (40.26 บาท/ลิตร) ซึ่งทำให้ผู้ใช้น้ำมันในรัฐแคลิฟอร์เนียต้องจ่ายค่าน้ำมันสูงกว่าค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันทั้งประเทศที่ 2.645 $/แกลลอน หรือประมาณ 21.30 บาท/ลิตร ถึง 63% สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ภาษีที่สูงไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ราคาน้ำมันในแคลิฟอร์เนียแพงกว่ารัฐอื่น แต่ยังมีปัจจัยอื่นเป็นส่วนประกอบอีกด้วย เช่น การต้องปิดโรงกลั่นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามแผนงานที่วางเอาไว้ และไม่อยู่ในแผน (planned and unplanned shutdown) รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงกว่าในรัฐอื่นๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างเช่น ลอสแองเจลิส และ ซานฟรานซิสโก

 

ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ประกอบการทั้งผู้ค้าส่ง และจำหน่ายปลีกน้ำมัน จำต้องคำนวณความคุ้มค่าในการประกอบธุรกิจ ตามต้นทุนในการประกอบธุรกิจน้ำมันที่สูงกว่าที่อื่น จึงทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในรัฐแคลิฟอร์เนียแพงกว่ารัฐอื่นมาก
สรุปก็คือ ราคาน้ำมันในสหรัฐฯนั้นไม่เท่ากันในแต่ละรัฐ แต่แตกต่างกันไปตามโครงสร้างภาษี โดยจะถูกในรัฐทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ เช่น เท็กซัส อะริโซนา โอคลาโฮมา และ หลุยเซียนา เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตน้ำมัน และศูนย์กลางการขนส่งและการกลั่นน้ำมัน
ดังนั้น สำหรับคนที่ชอบเอาราคาน้ำมันของแต่ละประเทศมาเทียบกัน เวลาเปรียบเทียบราคาน้ำมันของสหรัฐฯกับบ้านเรา แทนที่จะเอาแต่ราคาของรัฐที่ถูกๆ อย่าลืมเอาราคาของรัฐแคลิฟอร์เนียมาเทียบด้วยนะ

 

เดี๋ยวจะโดนข้อหานำเสนอข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน !!!
มนูญ ศิริวรรณ
18 ต.ค. 2562
สามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่ : https://bit.ly/2Vhudhl