นโยบายพลังงานต้องตามให้ทันเทคโนโลยี
สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนถึงนโยบายพลังงานของโจ ไบเดน ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม ปีหน้า โดยมีความชัดเจนในนโยบายว่าเขาจะเดินหน้าส่งเสริมและพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างเต็มที่ โดยเชื่อว่าสหรัฐฯมีโอกาสจะขึ้นเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและสร้างงานให้กับคนอเมริกันเป็นจำนวนมาก
สัปดาห์นี้มีข่าวว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษเตรียมเสนอแผนขั้นตอน 10 ประการ “ปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียว” โดยใช้งบประมาณ 12,000 ล้านปอนด์ หรือกว่า 480,000 ล้านบาท ผลิตพลังงานทดแทนจากกังหันลม รถไฟฟ้า และพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยคาดว่าจะช่วยสร้างงานในอุตสาหกรรมคมนาคม และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้มากถึง 250,000 ตำแหน่ง ทั้งยังจะช่วยให้รัฐบาลบรรลุเป้าหมายปลอดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้ภายในปีพ.ศ. 2590 อีกด้วย
ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนนั้นมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีl ที่ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ มีต้นทุนที่แข่งขันได้หรือถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลแล้ว
ขณะนี้เทคโนโลยีด้านพลังงานแสงอาทิตย์กำลังก้าวล้ำไปอีกขั้นโดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีโซล่าร์เหลว (Liquid solar) ที่สามารถพ่นลงไปบนกระจก พลาสติก หรือฟิลม์ (Liquid Solar Spray Technology) แล้วสามารถผลิตไฟฟ้าได้ (Liquid Electricity) ซึ่งจากการทดลองพบว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการผลิตไฟฟ้าจาก rooftop solar แบบเดิมถึง 50 เท่า
ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ทำให้การติดตั้ง Liquid solar ทำได้ง่ายกว่า ถูกกว่า สะดวกกว่า เพราะติดตั้งที่ไหนก็ได้ ทั้งกระจกหน้าต่างและบนหลังคา อีกทั้งประสิทธิภาพที่สูงกว่าจึงทำให้ระยะเวลาคืนทุนสั้นลงเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งปี เปรียบเทียบกับ rooftop solar แบบเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาคืนทุน 7-15 ปี
นอกจากเรื่องของพลังงานแสงอาทิตย์ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้พลังงานทดแทนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในบ้านเราโดยตรง นั่นคือการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรปต่างมีเป้าหมายที่จะเลิกผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine – ICE) มาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ปล่อยมลภาวะเป็นศูนย์ (ZEV) กันทั้งนั้น อย่างเช่นอังกฤษก็ตั้งเป้าหมายว่าจะเลิกจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปีพ.ศ. 2573 เร็วขึ้นกว่าแผนเดิม 10 ปี (ยกเว้นรถยนต์ประเภทไฮบริดยังให้ขายได้จนถึงปี 2578)
ส่วนในบ้านเรา เรื่องของยานยนต์ไฟฟ้ายังเป็นเรื่องที่อยู่ในระยะตั้งไข่เท่านั้น แม้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้นเมื่อเดือน เมษายนที่ผ่านมาตามแรงผลักดันจากหลายฝ่าย แต่การขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมก็ยังไม่เกิดขึ้น
ล่าสุดในการประชุมเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง “การขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย” ที่คณะอนุกรรมาธิการยานยนต์ไฟฟ้า ในคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎรจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ย. โดยมีเป้าหมายต้องการทราบความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะเลิกผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มาเป็นยานยนต์ที่ไร้มลภาวะเป็นพิษ (ZEV) ทั้งหมดภายในปีพ.ศ. 2578 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า
แต่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมเสวนาก็ยังแสดงความห่วงใยว่าอาจจะทำไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่องการผลิตรถยนต์สันดาปภายในเพื่อใช้ในประเทศและการส่งออก เพราะเกรงว่าจำนวนการผลิตจะไม่ได้ Economy of Scale ถ้าหันไปผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการบ้านเรายังยึดติดกับวิสัยทัศน์เดิมที่ไม่คิดว่าเทคโนโลยีในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ในอีก 15 ปีข้างหน้าจะพัฒนาไปจนแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้ามีขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพสูงขึ้น และราคาถูกลง
ถึงตอนนั้น ผู้ประกอบการคงไม่ต้องมากังวลเรื่อง Economy of Scale ของรถ ICE อีกต่อไป เพราะรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นใช้ในประเทศหรือส่งออกจะเป็น ZEV ทั้งหมดโดยรัฐไม่ต้องบังคับอยู่แล้ว !!!
มนูญ ศิริวรรณ
20 พ.ย. 2563