ตลาดค้าปลีกน้ำมันหลังโควิด-19

เข้าไปดูในรายละเอียดพบว่ายอดการใช้กลุ่มน้ำมันเบนซินเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 31.1 ล้านลิตร ลดลง 2.3% ลดลงในกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 1.6% มียอดใช้วันละ 30.3 ล้านลิตร เมื่อเจาะลึกลงไปอีกเฉพาะน้ำมันในกลุ่มแก๊สโซฮอล์พบว่า อี20 มีการใช้เพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 6.5 ล้านลิตร/ วัน เพิ่มขึ้น 3.8% รองลงมาเป็นแก๊สโซฮอล์ 95 ใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 14.0 ล้านลิตร/ วัน เพิ่มขึ้น 2.5% ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 91 และแก๊สโซฮอล์ อี85 ล้วนมีแต่การใช้ลดลง โดยแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 8.7 ล้านลิตร/ วัน หรือลดลง 9.7% และแก๊สโซฮอล์ อี85 ลดลง 11.4% มาอยู่ที่ 1.1 ล้านลิตร/ วัน

ส่วนในกลุ่มน้ำมันดีเซลยอดการใช้เฉลี่ย/ วันอยู่ที่ 67.6 ล้านลิตร ลดลง 2.9% โดยน้ำมันดีเซล B7 มียอดการใช้อยู่ที่ 51.5 ล้านลิตร/ วัน ลดลง 22.2% ขณะที่น้ำมันดีเซล B10 ที่เพิ่งเริ่มจำหน่ายในเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว มียอดการใช้เพิ่มขึ้นเป็น 6.4 ล้านลิตร/ วัน ส่วนน้ำมันดีเซล B20 มียอดการใช้อยู่ที่ 6.7 ล้านลิตร/ วัน

จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการใช้น้ำมันในไตรมาสแรกปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ก็ยังไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะการแพร่ระบาดและมาตรการ Lock down ล้วนแต่เกิดขึ้นในปลายเดือน มี.ค. แต่ผลกระทบที่แท้จริงน่าจะเกิดในไตรมาสสองมากกว่า เท่าที่ทราบจากผู้ประกอบการในวงการน้ำมัน ขณะนี้ยอดจำหน่ายปลีกที่สถานีบริการ (ปั๊มน้ำมัน) ลดลงมากถึง 20-30% และสถานการณ์แบบนี้น่าจะไม่ฟื้นตัวเร็วนัก คาดว่าจะต้องใช้เวลาเป็นปี ดังนั้นผู้ประกอบการทุกรายจึงจำเป็นต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุดเพื่อความอยู่รอด

หนทางหนึ่งในการลดค่าใช้จ่ายคือการลดจำนวนชนิดของผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในสถานีบริการลงอย่างที่ผมเคยเสนอแนะเอาไว้ว่าประเทศไทยมีชนิดของเชื้อเพลิงเพื่อการขนส่งมากจนเกินไป คือมีน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์มากถึง 6 ชนิดและกลุ่มน้ำมันดีเซลอีก 4 ชนิด รวมเป็น 10 ชนิด ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาภาระของผู้ประกอบการในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงโควิด-19 ภาครัฐควรพิจารณาข่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถลดค่าใช้จ่ายลงด้วยการลดชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ลงบ้าง เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจซึ่งก็จะส่งผลถึงผู้บริโภคให้ได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลงในที่สุด

ℹ️ โดย มนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน